การจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งาน
แบ่งได้ 5 แบบดังนี้
1. แบบสำเร็จรูป ( Packaged หรือ Ready – made Software )
วิธีการนี้ผู้ใช้งานสามารถที่จะเข้าไปเดินหาซื้อได้กับตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์
ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรงซึ่งมักจะมีการเตรียมบรรจุภัณฑ์และเอกสารคู่มือการใช้งานไว้อยู่แล้ว
ผู้ใช้สามารถที่จะหยิบเลือกซื้อได้เมื่อพอใจในตัวสินค้าซอฟต์แวร์นั้น ๆ
และนำไปติดตั้งเพื่อใช้งานได้โดยทันที กรณีที่ไม่สามารถเลือกซื้อผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายได้อาจเข้าไปในเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์นั้น ๆ
แล้วกรอกข้อมูลรายการชำระเงินผ่านแบบฟอร์มบนเว็บเมื่อรายละเอียดเกี่ยวกับการจ่ายชำระเงินของผู้ซื้อได้รับการอนุมัติก็
สามารถนำเอาซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาใช้ได้ทันที
2. แบบว่าจ้างทำ ( Customized หรือ Tailor – made Software )
กรณีที่บางองค์กรมีลักษณะงานที่เป็นแบบเฉพาะของตนเองและไม่สามารถนำโปรแกรมสำเร็จรูปมาประยุกต์ใช้ได้ก็สามารถที่จะผลิตขึ้นมาเองหรือว่าจ้างให้บุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญโดย
เฉพาะทำการผลิตซอฟต์แวร์ออกมาให้ตรงตามคุณสมบัติที่ต้องการซึ่งวิธีการนี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างให้เขียนซอฟต์แวร์ที่มีต้นทุน
แพงกว่าแบบสำเร็จรูปอยู่พอสมควร
3. แบบทดลองใช้ ( Shareware )
ในการใช้งานโปรแกรมผู้ใช้งานอาจมีความต้องการเพียงแค่อยากทดสอบการใช้งานของโปรแกรมนั้น ๆ ก่อนว่าดีหรือไม่ และจะเหมาะสมกับงานที่ทำอยู่อย่างไรบ้าง บริษัทผู้ผลิตจึงมักจะมีโปรแกรมเพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้งานก่อนได้
แต่อาจจะมีการกำหนดระยะเวลาทดลองใช้งานหรือเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย
เช่น ใช้ได้ภายใน 30 วัน หรือปรับลดคุณสมบัติบางอย่างลงไป
วิธีการนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถทดลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อได้
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีให้ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปซึ่งจะหาได้ตามเว็บไซต์ของผู้ผลิตโดยตรงหรือเว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ
4. แบบใช้งานฟรี ( Freeware )
ปัจจุบันเราสามารถเลือกหาโปรแกรมที่แจกให้ใช้กันฟรี ๆ
เพื่อตอบสนองกับการทำงานที่หลากหลายมาได้โดยง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแหล่งบริการดาวน์โหลดบนอินเทอร์เน็ต
ซึ่งมักจะเป็นโปรแกรมขนาดเล็กและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ผลิตแต่อย่างใด
แต่เนื่องจากเป็นของที่ให้ใช้กันฟรี ๆ
จึงอาจจะไม่มีคู่มือหรือเอกสารประกอบอย่างละเอียดเหมือนกับที่ต้องเสียเงิน
ซื้อ เนื่องจากเป้าหมายของผู้ผลิตคือ
ต้องการพัฒนาโปรแกรมเพื่อเผยแพร่ผลงานของตนเองให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
และทดสอบระบบที่พัฒนาเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะแจกให้ใช้ฟรี
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ลิขสิทธิ์ก็ยังเป็นของบริษัทผู้ผลิตอยู่
ไม่สามารถนำไปพัฒนาต่อหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดให้
5. แบบโอเพ่นซอร์ส ( Public – Domain/Open Source )
ในบางองค์กรที่มีกลุ่มบุคคลผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนา
ซอฟต์แวร์พอสมควร
หากต้องการใช้ซอฟต์แวร์แต่ไม่ต้องการเสียเวลาในการพัฒนาที่ยาวนานจนเกินไป
อาจจะเลือกใช้กลุ่มของซอฟต์แวร์ที่มีการเปิดให้แก้ไขปรับปรุงตัวโปรแกรมต่างๆ ได้เอง อีกทั้งยังไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ด้วย
ซึ่งบางครั้งเรียกซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ว่า โอเพ่นซอร์ส (open source )
ซึ่งผู้ใช้งานสามารถที่จะนำเอาโค้ดต่าง ๆ
ไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ได้ตามความต้องการได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดหรือระบุ
ไว้ของผู้ผลิตดั้งเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น